วันแรก กรุงเทพฯ – พาโร – พูนาคา/วังดี (124km/4hrs) 05:20 พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกชั้น 4 แถว W ประตู 10 เช็คอินสายการบิน Druk Air กรุงเทพฯ-พาโร เที่ยวบินที่ KB 123 07:20 เหินฟ้าสู่เมืองพาโร 08:50 เครื่องแวะรับผู้โดยสารเพิ่มที่ Gaya, India ใช้เวลา 30 นาที ผู้โดยสารไม่ต้องลงจากเครื่อง 09:20 เครื่องบินเหินฟ้าต่อไปยังเมืองพาโร 11:00 เดินทางสู่เมืองพาโร (2,280m) ด้วยสายการบิน Druk Air สายการบินแห่งชาติภูฏานตอนนำเครื่องลงท่านจะได้สัมผัสกับขุนเขาอันกว้างใหญ่ใกล้แค่เอื้อม ดุจดั่งเข้าสู่อ้อมกอดของหุบเขาแห่งเมืองพาโร สำหรับท่านที่รักการถ่ายภาพ ความอลังการของทิวทัศน์จะทำให้ท่านได้ภาพที่งดงาม อัศจรรย์ที่สุดภาพหนึ่งของการเดินทางครั้งนี้ท่านจะได้รับการประทับตราวีซ่าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่พาโร เมื่อผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ทำการแลกเงินในอาคารสนามบิน แล้วพบเจ้าหน้าที่ที่คอยต้อนรับอยู่ที่ประตูทางออกของอาคารสนามบิน หลังรับประทานอาหารกลางวันในเมืองพาโร พาท่านเดินทางสู่เมืองวังดี ระยะทาง 124 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ระหว่างทางแวะ โดชูลาพาส ที่ระดับความสูง 3150 เมตรจากระดับน้ำทะเล ธรรมชาติทิวทัศน์ของภูเขาหิมาลัยด้านตะวันตกอันตระการตา พร้อมยอดเขาต่างๆเรียงราย รวมไปถึงยอดเขาที่สูงที่สุดอย่างโชโมฮารี (7328 เมตร) ทิวทัศน์ระหว่างทางจะเต็มไปด้วยความสวยงามของต้นไม้ในเขตอัลไพน์สลับกับพืชเขตร้อน จากนั้นชม 108 สถูป สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นเมืองปีค.ศ.2005 เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับทหารวีรชนชาวภูฏานที่เสียชีวิตจากสงครามอัสสัม ชมความงามของวัดดรุกวังเยลลาคัง ที่ราชินีในรัชกาลที่4 สร้างถวายแด่กษัตริย์องค์ที่4 ด้านในวัดมีภาพเขียนของเจ้าหญิงและเจ้าชายทุกพระองค์ในรูปของนางฟ้าและเทวดา และภาพเขียนเล่าเรื่องราวประวัติของภูฎาน เมื่อถึงเมืองวังดี เช็คอินเข้าที่พัก รับประทานอาหารค่ำในโรงแรม คืนนี้พักที่เมืองวังดี (Alt.1240m) วันที่สอง พูนาคา/วังดี – ทรองซา (129km/ 4hrs 30min) หลังอาหารเช้า พาท่านเที่ยวชม ป้อมวังดีที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือแม่น้ำ จากนั้นเดินทางสู่เมืองพูนาคาที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ ชมเมืองและตลาดของเมืองวังดี จากนั้น เยี่ยมชม ป้อมพูนาคา ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นวังแห่งความสุข “ Palace of Great Happiness” และเป็นหนึ่งในป้องปราการที่สวยงามที่สุดในภูฏาน เป็นป้อมที่สร้างเป็นอันดับสองของภูฏาน ในอดีตเมื่อครั้งเมืองพูนาคายังเป็นเมืองหลวง ป้อมแห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นที่ทำการของรัฐบาล ปัจจุบันเป็นที่พักในฤดูหนาวของพระชั้นผู้ใหญ่ ป้อมนี้ตั้งอยู่ ณ บริเวณที่แม่น้ำ Phochu และ แม่น้ำ Mochu ไหลมาบรรจบกัน จากนั้นจากนั้นขับรถมุ่งหน้าไปยังเมืองทรองซา ระหว่างทางผ่านชม Pelela Pass (3,300m) ณ เลยช่องเขาไปจะมีหมู่บ้านใหญ่ชื่อ Rukubji บ้านที่นี่จะล้อมรอบไปด้วยทุ่งมัสตาร์ด ไร่มันฝรั่ง ทุ่งบาร์เล่ย์ และข้าวสาลี ระหว่างทางมีทุ่งดอกไม้ Rhododendron และเฟิร์น จากนั้นผ่านหมู่บ้าน Chendebji เป็นจุดพักระหว่างทางของกองคาราวานเดินทางจากทรองซาในช่วงรัชสมัยของกษัตริย์องค์ที่ 2 ของอาณาจักรภูฎาน จุดนี้ยังเป็นจุดสำคัญในการแบ่งภูฎานตะวันออกและภูฎานตะวันตก แขตนี้เป็นดินแดนของคนเลี้ยงจามรีและคนเลี้ยงแกะ ถ้าทัศนวิสัยปลอดโปร่งจะมองเห็นยอดสูงๆของเทือกเขาหิมาลัยได้อย่างชัดเจน รวมทั้งยอด Chomohari (7,219m) ทางทิศตะวันตกด้วย ถัดจากหมู่บ้านนี้จะได้เห็นสถูป Chendebji Chorten สีขาวองค์ใหญ่อยู่ริมลำธาร สถูปนี้จำลองมาจากสถูป Swayambhunath ในกาฎมัณฑุ ประเทศเนปาล มีรูปตาวาดติดไว้ทั้งสี่ทิศ สร้างขึ้นในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 18 เพื่อสะกดปีศาจที่เข้ามาอาละวาดสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านในหุบเขาบริเวณนี้ หมู่บ้านสุดท้ายก่อนถึงทรองซาคือหมู่บ้าน Tangsibji จากจุดนี้ท่านจะได้เห็นวิวอันตะการตาของป้อมทรองซา Trongsa Dzong อย่างสมบูรณ์ มองเห็นหลังคาสีเหลืองอันโดดเด่น ป้อมทรองซานี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1645 ภายในประกอบด้วยสถาปัตยกรรมชั้นเลิศ ลานกว้าง ทางเดิน และระเบียงอันสลับซับซ้อนเหมือนเขาวงกต ทั้งยังมีวิหารและหอบูชาอยู่มากถึง 25หลัง ป้อมนี้เป็นป้อมที่สำคัญมาก เป็นสถานที่จัดงานพระราชพิธีแต่งตั้งองค์มกุฎราชกุมารขึ้นเฉลิมพระยศเป็นโชเชเป็นลป ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตร์ย์องค์ต่อไป จากนั้นเราก็เข้าไปชมในตัวป้อมทรองซา เข้าชมหอสังเกตการณ์ Tower of Trongsa ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์แล้ว จากนั้นเดินเล่นในตัวเมืองทรองซา เช็คอินเข้าที่พักที่เมืองทรองซา (Alt 2,180m) วันที่สาม ทรองซา – บุมถัง (68km/ 2hrs 30min) หลังอาหารเช้าเดินทางสู่เมืองบุมถัง เป็นเมืองใจกลางประเทศที่ถูกขนานนามโดยนักท่องเที่ยวว่าเป็นสวิสเซอร์แลนด์แห่งเอเชีย เส้นที่วิ่งผ่าน Yotong La Pass (3,425m) ถือเป็นเส้นที่มีวิวที่สวยที่สุดในภูฎาน และเป็นที่อยู่ของชาว Satyr เมื่อเข้าไปในเขตของ Chhume Valley (เป็นหุปเขาแรกในสี่หุบเขาที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นหุบเขาบุมถัง) ที่นี่มีการทอ Yathra ซึ่งเป็นผ้าขนสัตว์ทอมือกันมาก เป็นแพทเทิร์นที่มีรูปแบบเฉพาะ สีสรรสดใส เป็นที่ต้องการของตลาด เยี่ยมชม Jakar Dzong เป็นป้อมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศภูฎาน จากนั้นเดินไปยังโบราณสถานและวัดที่สำคัญหลายแห่ง เช่น Jambay Lhakhang/Kurjey Lhakhang/ Tamshing & Pema Sambha Lhakhang บางแห่งมีสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.629 วัดเหล่านี้เป็นวัดที่นักแสวงบุญจากทั่วประเทศมาจาริกบุญอยู่มากมาย จากนั้นเดินเล่นในตัวเมืองบุมถัง พาท่านมุ่งหน้าไปยังวิทยาลัยสงฆ์ Kherchu Draktsang บนเนินเขา ที่นี่เป็นจุดชมวิวหุบเขาบุมถังที่สวยงาม เช็คอินเข้าที่พัก คืนนี้เราพักที่เมืองบุมถัง (Alt.2580m) วันที่สี่ บุมถัง – เดินเทรคหุบเขาถัง – เทศกาลระบำหน้ากาก Chojam Rabney หลังอาหารเช้า พาท่านเดินทางสู่หุบเขาถัง ระหว่างทางแวะ Maebar Tso แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นหนึ่งในสถานที่แสวงบุญที่สำคัญที่สุดในภูฎาน ที่นี่เป็นที่ซึ่งท่านเปมา ลิงปะได้ค้นพบสมบัติทางพุทธศาสนาที่ท่านกูรูรินโปเชซ่อนไว้ เมื่อถึงหุบเขาถัง เริ่มต้นเทรคที่ฟาร์มเลี้ยงแกะ โดยขึ้นเนินไปราว 40 นาที ที่หมายคือไปร่วมงานเทศกาลระบำหน้ากาก Chojam Rabney ที่วัด Chojamrab Lhakhang โดยในงานจะมี Yak Dance นอกเหนือจากระบำหน้ากากตามปรกติด้วย และชาวบ้านจะนำอาหารพื้นบ้านและเหล้าอาร่ามาแบ่งกันทาน ท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครงของคนในงาน จากนั้นเดินเทรคต่อไปเพื่อไปถึงหมู่บ้าน (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง) เมื่อถึงหมู่บ้านอูเก็นเชอลิง เช็คอินเข้าที่พักเป็นเกสต์เฮ้าส์อย่างดี หมู่บ้านอูเก็นเชอริงเป็นหมู่บ้านเลี้ยงแกะ และปลูกมันฝรั่ง ที่ยังมีชนเผ่าเร่ร่อนอาศัยอยู่ อาจได้เห็นภาพหญิงชราห่มหนังแกะสีดำเอาไว้บนหลัง จากนั้นเที่ยวชมคฤหาสน์อูเก็นเชอลิง ภายในมีทั้งวิหารโจคัง และพิพิธภัณฑ์ ในการเรียนรู้วิถีชีวิตในคฤหาสน์ของขุนมูลนายในช่วงก่อนปี 1950 เที่ยวชมทิวทัศน์โดยรอบ คืนนี้พักที่เกสต์เฮ้าส์อูเก็นเชอริง (Alt.2580m) วันที่ห้า บุมถัง – ผอบจิกะ (148km/ 5hrs 30min) ตื่นแต่เช้าตรู่ หลังอาหารเช้า พาท่านเดินทางสู่เมืองผอบจิกะ เมืองที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งในภูฎาน เป็นเมืองในหุบเขาที่แสนงดงาม เรียบง่าย และอุดมไปด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์ เป็นแหล่งพักของนกกระเรียนคอดำที่อพยพหนีหนาวจากที่ราบสูงทิเบต ในช่วงปลายเดือนตุลาคม-มีนาคม ท่านจะพบกับป่าสน ป่าดึกดำบรรพ์ เทือกเขา และไร่มันสำปะหลังที่ผสมผสานกันอย่างงดงาม จนนักท่องเที่ยวหลายคนฝันอยากมาใช้ชีวิตที่อยู่ที่นี่เลยทีเดียว เราจะพาท่านเดินเข้าไปในท้องทุ่งกลางหุบเขา ตามเส้นทาง Gantey Trailไปสัมผัสชีวิตชาวภูฎานอย่างแท้จริง จนไปสุดที่ บ้านชาวนา จิบชาร้อนๆแบบภูฎาน รับประทานอาหารเย็นที่โรงแรม จากนั้นพักผ่อนที่รีสอร์ทในเมืองผอบจิกะ (Alt; 2900m) วันที่หก ผอบจิกะ – ทิมพู(148km/ 5hrs 30min) หลังอาหารเช้า แวะเที่ยววัดกังเต วัดนี้เป็นวันนิกายนิงมาปะ ที่ใหญ่ที่สุดในภูฎาน ผู้ก่อตั้งอารามกังเต คือท่านเปมา ทรินเล หลานปู่ของท่านเปมา ลิงปะ พระอริยบุคคลผู้โด่งดังในนิกายญิงมาปะของภูฎาน จากนั้นมุ่งหน้ากลับไปยังทิมพู ผ่านช่องเขาโดชูลาพาส ทิมพูเป็นเมืองหลวงที่มีเสน่ห์อยู่ใจกลางหิมาลัย เพราะไม่เหมือนเมืองหลวงที่ใดในโลก อาคารบ้านเรือนยังคงเอกลักษณ์ตามสถาปัตยกรรมภูฎานดั้งเดิม เมื่อถึงเมืองทิมพูพาท่านสักการะองค์พระใหญ่บนยอดเขา ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดรวมพลังของหุบเขาทิมพู ที่ Buddha Gang ที่นี่ท่านจะได้ชมวิวเมืองของทิมพูด้วย จากนั้นชม Memorial Chorten อนุสรณ์สถาน ที่สร้างในปี 1974 เพื่อเป็นอนุสรณ์สำหรับอดีตกษัตริย์ภูฏานองค์ที่สามที่ล่วงลับ ที่นี่ท่านจะได้เห็นชาวภูฎานและนักแสวงบุญจำนวนมากมานั่งสวดมนต์หมุนกงล้อมนตรา และเดินเวียนเทียนรอบสถูป จากนั้นนำท่านสู่ป้อมทาชิโช ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานที่ใช้ทรงงานของกษัตริย์ ประกอบไปด้วยท้องพระโรง และศาสนสถานอยู่ภายใน เดินเที่ยวซื้อของที่ระลึกในตัวเมือง เข้าพักโรงแรมที่เมืองทิมพู (Alt 2,320m) วันที่เจ็ด ทิมพู – พาโร (54km/1hr) หลังอาหารเช้า พาท่านเดินทางสู่เมืองพาโร เที่ยวชมวัดคิชุลาคังหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศภูฏาน สร้างโดยกษัตริย์ธิเบตในปี ค.ศ.659 ท่านจะได้พบกับต้นส้มศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุถึง 600ปี แต่ยังให้ผลตลอดทั้งปี จากนั้นพาท่านปีนชมวัดทักซัง หรือ วัดถ้ำเสือ Tiger’s Nest วัดทักซังเป็นศาสนสถานที่มหัศจรรย์ เพราะตัววัดเหมือนเกาะอยู่บนหน้าผาหินที่มีความสูงถึง 900 เมตร วัดจากที่ราบพาโร ตำนานกล่าวไว้ว่าท่าน Guru Padmasambhava หรือ พระปทุมสมภพในภาคยักษ์ หรือพระศาสดาองค์ที่สองตามความเชื่อของชาวภูฏาน ได้เหาะมาบนหลังเสือตัวเมีย มายังหน้าผาแห่งนี้เพื่อทำวิปัสนากรรมฐาน จึงได้ชื่อว่าถ้ำเสือ หลังจากที่สำเร็จสมาธิแล้ว ท่านจึงได้สร้างศาสนสถานแห่งนี้ขึ้น ชาวภูฏานส่วนใหญ่มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะได้ขึ้นมาแสวงบุญที่ Taksang สักครั้งหนึ่งในชีวิต รับประทานอาหารเย็นสไตล์ภูฎานที่บ้านชาวนา ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านและชิม อาร่า เหล้าพื้นบ้านของชาวภูฎาน หรือ รับประทานอาหารที่ภัตตาคารคืนนี้พักที่พาโร (Alt; 2280m) หมายเหตุ มีบริการการอาบน้ำแร่หิน หรือ Stone bath หรือเรียกว่า Chu Tsen ที่ขึ้นชื่อของภูฎานอีกด้วย โดยจะนำหินจากแม่น้ำที่มีแร่ธาตุอุดมอยู่มากมายมาแช่ลงในน้ำอุ่นจนกลายเป็นน้ำแร่ และให้ท่านลงไปแช่ อาบในอ่างไม้ผสมกับสมุนไพรตามสไตล์ชาวภูฎาน โดยเชื่อว่าจะช่วยบำรุงผิวพรรณ และรักษาโรคผิวหนังได้ดี (หากสนใจจะแช่น้ำแร่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมท่านละประมาณ USD$12-15โดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง-หนึ่งชั่วโมง) แนะนำให้เตรียมผ้าถุงไปเปลี่ยน วันที่แปด พาโร - ทิมพู – งานวันชาติ - พาโร (54km/1hr) หลังอาหารเช้า พาท่านชมวิวเมืองทิมพูที่ หอคอย BBS ซึ่งเป็นที่หนุ่มสาวขนานนามว่าเป็น สถานที่โรแมนติก หรือ Romantic Point แล้วไปเที่ยวชมสัตว์ประจำชาติภูฏานที่ สวนสัตว์ทาคิน ชมตัวทาคิน สัตว์ประจำชาติของประเทศภูฏาน จากนั้นเดินทางไปยัง Changlimithang Stadium เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันชาติภูฎาน เป็นวันเถลิงราชสมบัติของกษัตริย์องค์ที่ 1 ของภูฎาน ผู้คนเดินจากหมู่บ้านทั้ง 7แห่งในเขตทิมพูต่างมาร่วมงานในครั้งนี้ ด้วยชุดประจำชาติ ประจำเผ่าที่สวยที่สุด กษัตริย์องค์ปัจจุบันจะเสด็จมาร่วมงานพร้อมกับราชวงศ์ จะมีการแสดงระบำพื้นบ้านประกอบ จากนั้นกษัตริย์จะกล่าวสุนทรพจน์ และมีพิธีประกาศเกียรติคุณของผู้ที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศ หลังรับประทานอาหารกลางวัน พาท่านเดินทางกลับสู่เมืองพาโร เพื่อ จากนั้นนำท่านเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Ta Dzong ซึ่งในอดีตเคยเป็นหอสังเกตการณ์ของ Rinpung Dzong ในปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี 1968 และได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ตัวอาคารตั้งอยู่บนเนินในจุดที่มองเห็นเมืองในหุบเขาพาโรทั้งเมือง จากนั้นเที่ยวป้อม Rimpung Dzong (ป้อมแห่งอัญมณี) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Paro Dzong สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1645 ทางเดินเข้าป้อมมีธงมนต์เรียงรายสองข้างทางนำไปสู่สะพานไม้แสนสวยหลังคามุงด้วยกระเบื้องหิน และอยู่ติดกับป้อมยามสองหลัง ปัจจุบันป้อมพาโรมีฐานะเป็นศูนย์กลางในการบริหารปกครองของเขตปกครองพาโรและเป็นที่ตั้งของอารามหลวง ซึ่งมีพระจำวัดอยู่ราว 200รูป หอกลาง (อุตซี)ของป้อม ถึงเป็นหนึ่งในงานเครื่องไม้ที่งามที่สุดในภูฎาน เย็นเดินเล่นรอบเมืองพาโร พักที่พาโร (2,280เมตร) วันที่เก้า พาโร - กรุงเทพ หลังอาหารเช้า นำท่านสู่สนามบินนานาชาติพาโร 10:00 เช็คอินที่สนามบินพาโร สายการบิน Druk Air เที่ยวบินที่ KB 126 พาโร-กรุงเทพฯ 12:00 เครื่องบินเหินฟ้าจากสนามบินพาโร 12:25 เครื่องแวะรับ/ส่งผู้โดยสารที่ Guwahati, India เป็นเวลา 30นาที 12:55 เครื่องบินเหินฟ้าจากสนามบิน Guwahati 16:45 เดินทางถึงกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ รายการท่องเที่ยวนี้อาจเปลี่ยนแปลงหรือสลับกันได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ถือเป็นเอกสิทธิ์ของผู้จัดโดยยึดถือตามสภาพการณ์และประโยชน์ของท่านเป็นสำคัญ